การสร้างสายพันธุ์ข้าวทอง
นายอินโก โปเตรคูส (Ingo Potrykus) แห่งสถาบันวิทยาการพืช สถาบันเทคโนโลยีสวิสเซอร์แลนด์ (the Institute of Plant Sciences at the ETH Zürich|Swiss Federal Institute of Technology) ร่วมกับ นายปีเตอร์ เบเยอร์ (Peter Beyer) แห่งมหาวิทยาลัยไฟรเบอร์ (Freiburg University) ได้ร่วมกันสร้างสายพันธุ์ข้าวทองขึ้น โดยโครงการได้เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1992 และได้ตีพิมพ์ผลงานในปี ค. ศ. 2000 ซึ่งการสร้างสายพันธ์ข้าวทอง ถือได้ว่าเป็นผลงานที่สำคัญของเทคโนโลยีชีวภาพ ที่นักวิจัยสามารถปรับแต่งกระบวนการชีวสังเคราะห์ได้ทั้งกระบวนการ
พันธุ์ข้าวตามธรรมชาตินั้นมีการผลิตสารเบต้าแคโรทีนออกมาอยู่แล้วเพียงแต่สารนั้นจะอยู่ที่ใบ ไม่ได้อยู่ในส่วนของเอนโดสเปิร์ม ซึ่งอยู่ในเมล็ดข้าว พันธุ์ข้าวทองนั้นถูกสร้างขึ้นโดยการตัดต่อยีนสังเคราะห์เบต้าแคโรทีน ไพโตนซินเตส (phytoene synthase) จาก ต้นแดฟโฟดิล (daffodil) และ ซีอาร์ทีหนึ่ง (crt1) จาก แบคทีเรีย เออวินเนีย ยูเรโดวารา (Erwinia uredovara) เข้าไปในจีโนมของข้าวตรงส่วนที่เกี่ยวข้องกับเอนโดสเปิร์ม จึงทำให้ข้าวที่ได้มีเบต้าแคโรทีน อยู่ในเอนโดสเปิร์ม
หมายเหตุ ยีนที่เกี่ยวกับไลโคเพน ไซเคลส (lycopene cyclase) ซึ่งเดิมเชื่อว่าจำเป็นในกระบวนการนี้ด้วย แต่ภายหลังเชื่อว่า ไลโคเพน ไซเคลส ถูกสร้างขึ้นในเอนโดสเปิร์ม ตามธรรมชาติ
ข้าวทองหรือโกลเดนไรซ์ พัฒนาจากข้าวพันธุ์ญี่ปุ่น ข้าวทองหรือโกลเดนไรซ์2 พัฒนาจากข้าวสายพันธุ์อินดิคา
การพัฒนาสายพันธุ์
ต่อมาข้าวทองได้ถูกผสมกับสายพันธุ์ข้าวท้องถิ่นของฟิลิปปินส์ ไต้หวัน และ ข้าวอเมริกาพันธุ์โคโคไดร์ (Cocodrie) การทดลองภาคสนามในไร่ของพันธุ์ข้าวทองครั้งแรก ถูกดำเนินการโดยศูนย์การเกษตร มหาวิทยาลัยรัฐหลุยเซียร์น่า (ปีค.ศ. 2005 ทีมนักวิจัยของบริษัทซินเจนต้า (Syngenta) ได้พัฒนาสายพันธุ์ข้าวทองขึ้นมาอีกสายพันธุ์ ชื่อว่า พันธุ์ข้าวทอง 2 (Golden Rice 2) โดยการรวมเอาไฟโตนซินเตสยีนจากข้าวโพดเลี้ยงสัตว์กับซีอาร์ทีหนึ่งของพันธุ์ข้าวทองเดิม พันธุ์ข้าวทอง 2 นี้มีรายงานว่าสามารถให้คาโรตินอยด์ได้มากถึง 37 µg/g หรือ มากกว่าพันธุ์ข้าวทองดั่งเดิมได้ถึง 23 เท่า
นาย
วัตถุประสงค์ในการทำพันธุวิศวกรรมข้าวทอง
ยุคแรกของเทคโนโลยีพันธุวิศวกรรมพืช เกิดขึ้นในบริษัทเอกชนเป็นหลัก โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเพิ่มผลผลิต ควบคุมคุณภาพ และพัฒนาสายพันธุ์ให้มีลักษณะใหม่ๆ เช่น การต้านทานแมลงศัตรูพืช การต้านทานไวรัสศัตรูพืช หรือการทนทานต่อยาฆ่าแมลง
ใน ระยะ 10 ปีที่ผ่านมา งานด้านพันธุวิศวกรรมพืชมุ่งเน้นการปรับปรุงคุณภาพผลผลิต เช่น การพัฒนาพันธุ์ข้าวญี่ปุ่น ให้เป็นข้าวทองหรือโกลเดนไรซ์ ซึ่งมีสารโปรวิตามินเอสูง โดยใช้ยีนจากดอกแดฟโฟดิลและแบคทีเรีย หลังจากนั้นมีการทำโกลเดนไรซ์ 2 ในข้าวสายพันธุ์อินดิคา โดยใช้ยีนจากข้าวโพด ปัจจุบัน มีการทำข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ กล้วย มันสำปะหลัง และมันเทศที่มีวิตามินเอ วิตามินอีและแร่เหล็กมากขึ้น เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนธาตุอาหารของประชากรในกลุ่มประเทศโลกที่สาม
อันตราย ของพืชที่เกิดจากการทำพันธุวิศวกรรม
1. เกิดธัญพืช และวัชพืชพันธุ์ใหม่ที่มีความต้านทานต่อ แมลง
2. ทำให้ความหลากหลายของหน่วยพันธุกรรมลดลง
3. เกิดการผสมข้ามเผ่าพันธุ์ของเชื้อ virus และ bacteria โดยไม่ทราบผลกระทบที่จะตามมา
4. เกิดอันตรายอย่างร้ายแรงต่อเผ่าพันธุ์แมลงต่างๆ เช่น แมลงเต่าทอง และแมลงในตระกูล Chrysopidae ซึ่งมีปีกเป็นลายตาข่าย
5. ถ้าเกิดความผิดพลาดในการเปลี่ยนถ่ายหน่วย พันธุกรรมแล้ว จะไม่สามารถถ่ายหรือล้างกลับได้ และจะคงอยู่กับสิ่งมีชีวิตใหม่และแพร่พันธ์ต่อไปตลอดทุกชั่วอายุ
6. เกิดการถ่ายทอดสารพันธุกรรมแปลกปลอมไปสู่ธัญพืชอื่นๆ ได้
7. ทำให้การกสิกรรมต้องพึ่งพาทางเคมีมากเกินไป
8. เกิดความล้มเหลวในการควบคุมแปลงทดลองปลูกพืช GMO เช่น กรณี bollguard cotton ในUSA ประเทศที่เป็นผู้ส่งออก GMO รายใหญ่
2. ทำให้ความหลากหลายของหน่วยพันธุกรรมลดลง
3. เกิดการผสมข้ามเผ่าพันธุ์ของเชื้อ virus และ bacteria โดยไม่ทราบผลกระทบที่จะตามมา
4. เกิดอันตรายอย่างร้ายแรงต่อเผ่าพันธุ์แมลงต่างๆ เช่น แมลงเต่าทอง และแมลงในตระกูล Chrysopidae ซึ่งมีปีกเป็นลายตาข่าย
5. ถ้าเกิดความผิดพลาดในการเปลี่ยนถ่ายหน่วย พันธุกรรมแล้ว จะไม่สามารถถ่ายหรือล้างกลับได้ และจะคงอยู่กับสิ่งมีชีวิตใหม่และแพร่พันธ์ต่อไปตลอดทุกชั่วอายุ
6. เกิดการถ่ายทอดสารพันธุกรรมแปลกปลอมไปสู่ธัญพืชอื่นๆ ได้
7. ทำให้การกสิกรรมต้องพึ่งพาทางเคมีมากเกินไป
8. เกิดความล้มเหลวในการควบคุมแปลงทดลองปลูกพืช GMO เช่น กรณี bollguard cotton ในUSA ประเทศที่เป็นผู้ส่งออก GMO รายใหญ่
9. ทำให้เกิดสารเคมีตกค้างในพืชมากเกินไป
10.เกิดการชี้นำกสิกรรมของโลกโดยบริษัทฯผู้ผลิตเมล็ดพันธ์ที่ได้จากการเปลี่ยนถ่ายหน่วยพันธุกรรมและบริษัทฯผู้ขายเคมีที่ใช้ในการเปลี่ยนถ่ายหน่วยพันธุกรรม
11. เกิดการฆ่าทำลายแมลง นก สัตว์ป่า ฯลฯ โดยธัญพืชพันธุ์ใหม่ที่จะขยายและกระจายไปทั่วโลก โดยไม่ สามารถควบคุมได้ มีตัวอย่างให้เห็นในแปลง ทดลองปลูกพืชตัวอย่างที่ได้จากการเปลี่ยนถ่ายหน่วยพันธุกรรม
อุตสาหกรรมพืชจีเอ็มโอปลุกกระแสข้าวสีทองรอบใหม่
อัมสเตอร์ดัมส์ ผู้คิดค้นข้าวจีเอ็มโอ ออกมาปลุกกระแสของข้าวสีทองอีกครั้ง ด้วยการประกาศต่อสาธารณชน ว่าข้าวสีทองรุ่นใหม่มีปริมาณของโปรวิตามินเอ 10 เท่าหรือมากกว่านั้น เมื่อเทียบกับข้าวรุ่นแรกที่ทดลอง
กรีนพีซจึงขอเตือนสาธารณชนและนักการเมือง อย่าหลงเชื่อบริษัท Syngenta ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนเงินทุนในการทดลองข้าวสีทอง และ คำสัญญาที่เชื่อถือไม่ได้ บริษัทนี้มีจุดประสงค์เพื่อกรุยทางสะดวกสำหรับการเพิ่มผลผลิตจีเอ็มโอในประเทศกำลังพัฒนาเพื่อที่บริษัทจะได้แสวงหาผลกำไรมากยิ่งขึ้น
Potrykus โจมตีข้อห้ามการค้าเมล็ดพันธุ์จีเอ็มโออย่างรุนแรง เขาเรียกร้องว่า พืชจีเอ็มโอควรจะได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับพืชทั่วไป และ การประ เมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และ สุขภาพ ก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นChristoph Then นักรณรงค์ด้านพันธุวิศวกรรม กรีนพีซสากล ซึ่งเข้าฟังบรรยายของ Potrykus กล่าวว่า บริษัท Syngenta อ้างว่า กำลังพยายามหาทางช่วยประชาชนจากโรคขาดวิตามินเอ แต่ถ้อยคำโจมตีของ Potrykus แสดงให้เห็นชัดว่า อุตสาหกรรมจีเอ็มโอใช้ข้าวสีทองเป็นเครื่องมือในการรณรงค์ เพื่อให้จำหน่ายเมล็ดพันธุ์จีเอ็มโอได้ง่ายขึ้น ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังทำเช่นนั้น ขณะเดียวกันก็เป็นการทำร้ายประชาชนที่เดือดร้อนจากโรคขาดสารอาหารอย่างรุนแรง
แม้ระหว่างการกล่าวบรรยาย จะมีการระบุถึงปริมาณของโปรวิตามินเอ ที่เพิ่มมากขึ้น แต่ก็มีการยอมรับว่า ยังคงมีคำถามมากมายเกี่ยวกับข้าวสีทอง นักวิจัยที่แม้จะทำการทดลองมาถึง 5 ปีแล้ว ก็ยังไม่รู้ว่าหลังผ่านการหุงต้มแล้วจะเหลือปริมาณโปรวิตามินเอเท่าไหร่ และ ร่างกายจะดูดซึมไปใช้ได้แค่ไหน ทั้งยังไม่มีการประเมินความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม และ ผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์ด้วย
รายงานของกรีนพีซ ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ชี้ว่า ปัญหาโรคขาดวิตามินเอควรได้รับการแก้ไขที่หลากหลาย โรคขาดวิตามินเอพบได้ทั่วไปในประเทศกำลังพัฒนา และ กระทบต่อประชากรหลายล้านคน ทางแก้ไข เช่น การทานอาหารที่หลากหลาย การให้วิตามินเอเสริม และ การปลูกผักกินเอง เป็นวิธีที่ใช้ได้ผล เรื่องราวของข้าวสีทองหันเหการสนับสนุนจากรัฐในการแก้ไขปัญหาที่แท้จริง และ อาจจะทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลง จากการส่งเสริมให้ข้าวสีทองเป็นแหล่งอาหารหลักในทางโภชนาการ
โชคไม่ดีที่ไม่มีเวทมนตร์ใดๆจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ โฆษณาชวนเชื่อเรื่องข้าวสีทองไม่ได้ช่วยประชาชนอย่างแท้จริงแต่หันเหผู้คนไปจากวิธีการแก้ไขโรคขาดวิตามินเอที่มีอยู่แล้ว ราคาถูก และ พอเพียงมากกว่า ที่สำคัญคำบรรยายของ Potrykus นั้นชัดเจนว่า อุตสาหกรรมจีเอ็มโอจะทำทุกวิถีทาง เพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ของตนแม้กระทั่งว่าจะมีความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อม และ สุขภาพมนุษย์ก็ตาม
กลุ่มที่คัดค้านการทำพันธุวิศวกรรม(GMO)
The Soil Association are campaigning for a ban.Greenpeace – ban.
Friends of the Earth
– 5 year moratorium.
อ้างอิง
http://www.thaigoodview.com
http://www.fda.moph.go.th